www.upfacecenter.com
ศูนย์ดูแลสมรรถภาพเพศชาย
ศูนย์ดูแลสมรรถภาพเพศชาย
การทำศัลยกรรมเพศชาย
คือ การดูแลแก้ไขปัญหาบนระบบสืบพันธุ์ของคุณผู้ชาย ซึ่งอวัยวะเพศชายถือเป็นจุดสำคัญที่มีความละเอียดอ่อน ซึ่งมักมีปัญหาเฉพาะที่ต้องอาศัยความรู้และความเข้าใจในเรื่องอวัยวะเพศชายของแพทย์ผู้ทำศัลยกรรม รวมถึงทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์กับปัญหานี้สามารถดูแลคุณได้อย่างเข้าถึง ศูนย์ดูแลสมรรถภาพเพศชาย ( MEN’S HEALTH CENTER )
การเพิ่มขนาดน้องชาย
การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ
การทำหมันชาย
การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
แก้ไขการฉีดสารแปลกปลอม
ภาวะการหลั่งเร็ว
การบริการ
การเพิ่มขนาดน้องชาย
วิธีการเพิ่มขนาดอวัยวะเพศชาย
1.การฉีดสารเพิ่มขนาด
2.การผ่าตัดใช้วัสดุสังเคราะห์หุ้มเพื่อเพิ่มขนาด
การฉีดสารเพิ่มขนาดชายที่ปลอดภัยมีอยู่ 2 ประเภท
1.การฉีดไขมันของตัวคนไข้เอง
โดยนำมาจากหน้าท้องหรือต้นขา แล้วฉีดกลับเข้าไปที่บริเวณอวัยวะเพศชายมี
ข้อดีคือ ปลอดภัย เนื่องจากไขมันที่ใช้เป็นไขมันจากร่างกายของเราเอง จึงมักไม่มีปฎิกิริยาหรือผลแทรกซ้อนในระยะยาว
2.การฉีดด้วยสาร ไฮยาลูโรนิค(Hyaluronic)
สารนี้มักใช้ในการเสริมความงามบริเวณใบหน้า ซึ่งสารตัวนี้มีความปลอดภัยสามารถนำมาฉีดเพื่อเพิ่มขนาดบริเวณอวัยวะเพศได้
เพิ่มความยาวอวัยวะเพศชาย
ในกรณีที่อวัยวะเพศมีความสั้น แพทย์ก็สามารถผ่าตัดเพิ่มความยาวให้ได้ โดยจะผ่าตัดเปิดแผลที่โคนอวัยวะเพศแล้วปล่อยอวัยวะเพศออกจากบริเวณกระดูกหัวหน่าว ช่วยให้ความยาวเพิ่มมากขึ้นประมาณ 1-2 เซนติเมตร แต่ปลายอวัยวะเพศจะชี้ต่ำลงกว่าเดิม แต่ไม่ได้ส่งผลต่อการแข็งตัว อวัยวะเพศจะยังแข็งตัวได้ตามปกติเหมือนเดิม
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด
1. ปรึกษาแพทย์เพื่อทำความเข้าใจถึงขั้นตอนการรักษาและผลการรักษาอย่างละเอียด
2. เข้ารับการตรวจร่างกายเบื้องต้นอย่างละเอียด
3. หากมีโรคประจำตัว รับประทานยาอยู่ หรือมีประวัติการแพ้ยา ควรแจ้งแพทย์ให้ทราบก่อนการผ่าตัด
4. งดแอสไพริน, ไอบูโพรเฟน และวิตามินอี เป็นเวลา 2 สัปดาห์ก่อนเข้ารับการผ่าตัด
5. งดสูบบุหรี่หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด
6. งดน้ำ และอาหารเป็นเวลา 6-8 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด เนื่องจากการผ่าตัดจะต้องทำโดยการดมยาสลบ
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
1. อาจเกิดอักเสบติดเชื้อได้เนื่องจากเป็นบริเวณอับชื้น
2. มีเลือดออกเนื่องจากบริเวณอวัยวะเพศมีเลือดมาหล่อเลี้ยงเป็นจำนวนมาก
3. เกิดการแข็งตัวของอวัยวะเพศทำให้แผลฉีกขาด
4. บางรายอาจพบปัญหาแผลเป็นรั้งของถุงอัณฑะหรืออวัยวะเพศ
การบริการ
การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ (Circumcision)
การขลิบหนังหุ้มปลายเป็นวิธีการตัดหนัง(ขลิบ)หุ้มส่วนปลายขององคชาติออก ซึ่งโดยปกติสามารถทำได้ตั้งแต่แรกคลอดจนถึงสูงอายุ แต่โดยทั่วไปมักจะทำตอนอายุ 7-8 ขวบในกรณีที่หนังหุ้มปลายไม่สามารถเปิดออกมาทำความสะอาดได้ อย่างในศาสนาอิสลามก็มักจะให้ทำขลิบหนังหุ้มปลาย หรือการทำสุหนัตในตอนเข้าเรียนหรือประมาณ 7 – 8 ขวบ เช่นกัน
การขลิบหนังหุ้มปลายโดยปกติจะใช้เทคนิคมาตฐานคือการใช้ใบมีดหรือกรรไกร เป็นการตัดหนังส่วนปลายออกแล้วเย็บแผลด้วยไหมเย็บแผล แต่ในปัจจุบันมีวิธีการขลิบอีกแบบนึง นั้นก็คือการขลิบไร้เลือด หรือการขลิบด้วยเครื่องมืออัตโนมัติ ซึ่งมีข้อดีคือทำได้เร็ว เจ็บปวดน้อยกว่า เสียเลือดน้อยกว่ามาก แต่การขลิบด้วยเครื่องมือมีข้อจำกัดบางประการ เช่น หนังหุ้มปลายที่ตีบมากแต่กำเนิดจนไม่สามารถใส่อุปกรณ์เข้าไปตัดหนังหุ้มปลายได้ หรือกรณีที่เส้น 2 สลึงสั้น หรือตึงมากๆ อาจต้องใช้การตัดเส้น 2 สลึง หรือตกแต่งเส้น 2 สลึงเพิ่มเติมด้วย
หน้าที่ของหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ
1.ปกป้องส่วนปลายของอวัยวะเพศระหว่างที่มีการเจริญเติบโต
2.ป้องกันหัวอวัยวะเพศจากการเสียดสี หรือถลอกจากอุบัติเหตุเล็กน้อย
3.สารจากผิวหนังหุ้มปลายด้านในช่วยให้เป็นสารหล่อลื่นของหัวอวัยวะเพศ
4.เป็นส่วนที่เพิ่มความยาวของอวัยวะเพศตอนแข็งตัว
5.เป็นส่วนที่ใช้ในการช่วยตัวเองและการร่วมเพศ
6.ลดการเสียดสีขณะที่มีเพศสัมพันธ์
7.เป็นส่วนที่รับความรู้สึกทางเพศ
ทำไมต้องขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย
1.หนังหุ้มปลายตีบ ทำให้ปัสสาวะลำบาก
2.หนังหุ้มปลายหดรัดลำองคชาติ ทำให้เจ็บปวดและเกิดอาการบวม
3.เกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ โดยไม่มีสาเหตุจากท่อไตหรือกระเพาะปัสสาวะ การขลิบอาจช่วยป้องกัน
4.เกิดการติดเชื้อที่ปลายหนังหุ้ม ติดเชื้อบ่อย ๆ เกิด แผลเป็นได้
5.ในเด็กเข้าสู่วัยรุ่นแล้วหนังหุ้มปลายไม่เปิด
6.หนังหุ้มปลายยาว ทำให้ติดซิบกางเกง เกิดการบาดเจ็บ
7.ง่ายในการทำความสะอาด
8.ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ
9.ลดความเสี่ยงในการเกิดการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์
10.ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งองคชาต
ข้อดีของการขลิบหนังหุ้มปลาย
1.ลดโอกาสการเกิดมะเร็งองคชาต
2.ลดการอักเสบของหัวองคชาต
3.ในผู้ชายบางรายลดอาการหลั่งเร็วได้
4.ลดความเสี่ยงการติดเชื้อในทางเดินปัสวะในเด็กที่อายุน้อย
5.ลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้
6.ง่ายต่อการทำความสะอาดอวัยวะเพศ ลดการหมักหมมของเชื้อโรค และกลิ่นอันไม่พึงประสงค์
7.แก้ปัญหาหนังหุ้มปลายตีบตัน
8.ป้องกันการเกิดหนังหุ้มปลายบีบรัด
7.ข้อดีของเทคนิคการทำศัลยกรรมตาสองชั้นแบบกรีดสั้นคือรบกวนเนื้อเยื่อเปลือกตาน้อยจึงทำให้บวมน้อย
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด
1.ไม่ต้องงดน้ำและอาหาร
2.กรณีที่มี โรคประจำตัว เช่นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
3.ทำความสะอาดและโกนขนอวัยวะเพศก่อนมาผ่าตัดควรเลือกกางเกงในสีเข้ม
4.เตรียมกางเกงชั้นในหลวมๆสำหรับใส่หลังผ่าตัด
การดูแลรักษาหลังการขลิบ
-โดยทั่วไปแนะนำให้โดนน้ำได้หลังจาก 3 วันแรกหลังจากการผ่าตัด
-รอให้แผลหายโดยเฉลี่ยประมาณ 1 เดือนหลังการผ่าตัด จึงสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ
ข้อห้ามในการขลิบหนังหุ้มปลาย
1.หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศบวม ติดเชื้อ
2.ผู้ป่วยมีภาวะเลือดออกง่ายผิดปกติ
3.ผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดและหัวใจ
4.ผู้ป่วยมะเร็งองคชาต
5.ผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้
ข้อดีของการขลิบแบบ (Staple Circumcision)
1.ระยะเวลาที่ใช้ในการผ่าตัดน้อยกว่าแบบเดิม ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที
2.ไม่เสียเลือดขณะผ่าตัด
3.แผลสวยงาม
4.แผลหายเร็ว
5.ปวดน้อยกว่าการผ่าตัดแบบเดิม
การบริการ
การทำหมันชาย
คือการผูกและตัดท่อนำตัวอสุจิ ซึ่งมักจะทำด้วยวิธีการฉีดยาชา ใช้เวลาในการทำ 15-30 นาที โดยก่อนการผ่าตัดทางแพทย์จะพูดคุยและสอบถามเพื่อให้มั่นใจว่าผู้ที่เข้ากระบวนการดังกล่าวไม่ต้องการมีบุตรอีกต่อไป เพราะแม้จะสามารถผ่าตัดแก้หมันได้ในอนาคต แต่วิธีการทำค่อนข้างยุ่งยากซับซ้อน มีค่าใช้จ่ายสูง และอาจไม่ได้ผลตามที่คาดหวัง
เหมาะสำหรับคนที่มีลูกเพียงพอแล้ว โดยปกติแนะนำให้มีลูกแล้ว 2 คน และเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ประสงค์มีบุตรอีกและไม่ต้องการคุมกำเนิดด้วยวิธีชั่วคราวอื่นๆ อย่างไรก็ตามก็ยังมีข้อจำกัด เช่น ผู้เข้ารับการทำหมันต้องมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีภาวะเลือดออกผิดปกติหรือเลือดแข็งตัวช้า และขณะผ่าตัดไม่มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือการติดเชื้อบริเวณถุงอัณฑะ
คำถามที่พบบ่อย
การทำหมันเป็นการผ่าตัดแบบหนึ่ง บอกว่าไม่เจ็บเลยก็คงไม่ได้ แต่เป็นการเจ็บเพียงระยะเวลาสั้นๆ เพียง 2-3 นาที
ถ้าดมยาสลบต้องงดน้ำ งดอาหาร ตรวจเลือด เช็คปอด ตรวจหัวใจเพิ่ม ไม่คุ้มกับความรู้สึกเจ็บ ๆ จุก ๆ ประมาณ 2-3 นาที เพราะระยะเวลาการผ่าตัดนั้นสั้น
การผ่าตัดทุกอย่าง ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ก็เกิดโรคแทรกซ้อนได้ เช่น การผ่าตัดทำหมันชาย อาจมีภาวะ เลือดออกในถุงอัณฑะ แต่โอกาสน้อยมากไม่ถึง 1%
ข้อดี
1. ทำได้ง่าย
2. ใช้งานไม่นาน
3. ปลอดภัย
4. ใช้เพียงยาชาเฉพาะที่
5. ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล
6. มีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าการทำหมันหญิง
7. มีภาวะเสี่ยงหรือภาวะแทรกซ้อนต่ำ
8. เป็นวิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในปัจจุบัน
ขั้นตอนการทำหมันชาย
1. ทำความสะอาดและเตรียมบริเวณหนังหุ้มอัณฑะสำหรับการผ่าตัดแบบเจาะ
2. แพทย์ฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณท่อนำอสุจิที่คลำพบซึ่งจะอยู่เหนืออัณฑะเล็กน้อย
3. เมื่อยาชาออกฤทธิ์จึงใช้เครื่องมือเจาะรูเล็กๆ ที่หนังหุ้มอัณฑะเพื่อเกี่ยวท่อนำอสุจิขึ้นมาแล้วจึงตัดท่อออกส่วนหนึ่งประมาณ 1 เซนติเมตร แล้วผูกปลายท่อทั้งสองข้างให้ปิดสนิทก่อนปล่อยกลับลงไปใต้ผิวหนังเช่นเดิม วิธีเดียวกันนี้จะทำซ้ำกับท่อนำอสุจิอีกข้างหนึ่งโดยไม่ต้องเจาะผิวหนังอีก
4. หลังจากเสร็จเรียบร้อยแพทย์จะปิดแผลด้วยพลาสเตอร์ยาแผ่นเล็กและให้กลับบ้านได้ เพราะการทำหมันชายนั้นเป็นแผลเล็ก ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล ไม่ทำให้เกิดการเสี่อมสมรรถภาพทางเพศ
5. ใช้ระยะเวลาในการผ่าตัดทั้งหมดประมาณ 30 นาที
ข้อควรระวังภายหลังการผ่าตัด
1.ควรหลีกเลี่ยง การวิ่ง การขี่จักรยานหรือมอเตอร์ไซค์ 1-3 วัน
2.หลีกเลี่ยงแผล ไม่ไห้โดยน้ำ 3 วัน
3.งดมีเพศสัมพันธ์ 1สัปดาห์ และควรใช้ถุงยางอนามัยหรือการคุมกำเนิดวิธีอื่นร่วมด้วย
ข้อปฎิบัติหลังการทำหมันชาย
1. ภายหลังการทำหมันควรใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วยเช่น ใส่ถุงยางอนามัยก่อน จนกว่าจะตรวจน้ำอสุจิแล้วไม่พบตัวอสุจิแล้ว
2. โดยปกติหลังการทำหมัน ต้องหลั่ง 10-25 ครั้ง หรือ รออย่างน้อยประมาณ 1 เดือน ตัวอสุจิถึงจะหมดไป
ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
1.มีเลือดออก หรือเลือดคั่งในอัณฑะ
2.มีการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด ซึ่งแพทย์จะป้องกันด้วยการให้ยาปฏิชีวนะ
3.มีอาการปวดเรื้อรัง อัณฑะบวม มีเลือดออกหรือรู้สึกปวดขณะหลั่งอสุจิ
หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบมาพบแพทย์ทันที
การบริการ
การหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
Erectile dysfunction คือภาวะหย่อนสมรรถภาพ หรือเสื่อมสมรรถภาพซึ่งส่วนใหญ่กว่า 70% มักเกิดจากเส้นเลือดที่มาเลี้ยงองคชาติเริ่มมีการเสื่อมสมรรถภาพตามกาลเวลา โรคประจำตัวต่างๆ หรือการสูบบุหรี่ โดยทั่วไปการแข็งตัวขององคชาต เริ่มจากร่างกายหรือจิตใจมีความต้องการในการมีเพศสัมพันธ์จะไปกระตุ้นให้สมอง สั่งการไปที่ระบบประสาท แล้วระบบประสาทนั้นจะไปกระตุ้นให้เส้นเลือดแดงเกิดการขยายตัว เลือดจะไปขังที่องคชาตทำให้เกิดการแข็งตัว ซึ่งหากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงองคชาตมีความผิดปกติจะทำให้แข็งตัวได้น้อยหรือไม่แข็งตัวเลยจนไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ
การหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เกิดจาก 4 ปัจจัย
1.ฮอร์โมนเพศชาย
2.เส้นประสาท
3.เส้นเลือดที่มาเลี้ยงองคชาต
4.ภาวะจิตใจ
ซึ่งการแข็งตัวขององคชาติต้องมีปัจจัยทั้ง 4 ร่วมกันทำงาน จึงจะสามารถแข็งตัวและสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ
ปัจจัยเสี่ยงต่อการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
1. โรคเรื้อรังทางระบบหลอดเลือดและประสาท เช่น โรคความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดตีบ
2. ยาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคความดันโลหิตสูงบางตัว ยากล่อมประสาท ยาฮอร์โมน และยาโรคกระเพาะ
3. โรคเกิดจากการผ่าตัด
4. โรคทางจิตใจ เช่น ความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า
5. บุหรี่และเหล้า
www.upfacecenter.com
วิธีรักษาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศที่ทำได้ด้วยตัวเอง
1.หลีกเลี่ยงการรับสารนิโคตินจากการสูบบุหรี่
2.งดดื่มแอลกอฮอล์ และสารเสพติดอื่นๆ
ความบกพร่องทางเพศชายมี 3 ลักษณะ
1. ไม่มีความรู้สึกหรือความต้องการทางเพศ
2. อวัยวะเพศไม่แข็งตัว หรือแข็งได้ไม่ดีพอ หรือไม่นานพอที่จะเกิดความพึงพอใจ
3. การหลั่งเร็ว พบได้บ่อยในคนที่มีสาเหตุเกิดจากด้านจิตใจ
การทำ Low-intensity shock wave therapy
เป็นการกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นเลือดใหม่ ซึ่งการสร้างเส้นเลือดใหม่นี้จะทำให้เลือดเข้าสู่องคชาตดียิ่งขึ้น ส่งผลให้การแข็งตัวดีขึ้นด้วย โดยการทำ Shock Wave Therapy จะให้ผลที่ยาวนานกว่าเพราะมีการสร้างเส้นเลือดใหม่เกิดขึ้น
การรักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพด้วยวิธีอื่น
1.การใช้ยาฉีดเข้าสู่อวัยวะเพศโดยตรง ก่อนมีเพศสัมพันธ์ 5 – 10 นาที สามารถทำให้อวัยวะเพศแข็งตัวได้ประมาณ 1 ชั่วโมง จะมีผลให้เกิดการขยายตัวของเส้นเลือด เหมาะกับการใช้เมื่อมีเพศสัมพันธ์เป็นครั้งๆไป
2.การผ่าตัดใส่แกนอวัยวะเพศ เป็นทางเลือกสุดท้ายในการรักษาผู้ป่วยหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เป็นการผ่าตัดใส่แกนอวัยวะเพศเทียมเข้าไปในอวัยวะเพศโดยตรง ใช้ในกรณีที่รักษาโดยวิธีการอื่นๆ ที่กล่าวมาแล้วไม่ได้ผล
3. P-Shot เป็นเทคนิคที่ใช้เกร็ดเลือดของผู้ป่วยเอง ฉีดเข้าสู่อวัยวะเพศโดยตรง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดขึ้นมาใหม่ ให้ผลคล้ายคลึงกับการทำ Shock Wave Therapy ซึ่งยังเป็นการรักษาใหม่ในปัจจุบัน
4.การรักษาโดยการใช้ยารับประทาน โดยจะต้องรับประทานก่อนมีเพศสัมพันธ์ ประมาณ 30 นาที – 1 ชั่วโมง และยาในกลุ่มนี้ผลข้างเคียง เช่น ใจสั่น ปวดศีรษะ เห็นแสงวูบวาบ คัดจมูก
5.การใช้กระบอกสุญญากาศ (Vacuum Device) เป็นการใช้กระบอกสุญญากาศครอบที่อวัยวะเพศ หลังจากนั้นก็สูบอากาศออกจากท่อ ทำให้เลือดเข้าไปในอวัยวะเพศจนอวัยวะเพศแข็งตัวได้ดี หลังจากนั้นจึงใช้ยางรัดเพื่อไม่ให้เลือดไหลออก
การแข็งตัวขององคชาตมีด้วยกัน 3 กลไก
– การแข็งตัวเวลานอนหลับ (Nocturnal Erection) เวลานอนหลับจะมีการแข็งตัวคืนละประมาณ 4 – 6 ครั้ง ครั้งละ 15 – 30 นาที
– การแข็งตัวจากจิตใจ (Psychogenic Erection) เมื่อมีความต้องการทางเพศจากสิ่งเร้าต่าง ๆ ที่มากระตุ้น Nerve) ที่มากระตุ้นให้เส้นเลือดในองคชาตมีการขยายตัว เลือดเข้ามาเลี้ยงมากขึ้น ทำให้องคชาตแข็งตัว
-การแข็งตัวจากรีเฟล็กซ์ (Reflexogenic Erection) เมื่อมีการกระตุ้นหรือสัมผัสบริเวณองคชาติ
ปัจจัยของภาวะหย่อนสมรรถภาพ
การหย่อนสมรรถภาพหรือการเสื่อมสมรรถภาพนั้นมีปัจจัยเกี่ยวข้องด้วยกัน 2 รูปแบบ ได้แก่ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก
ปัจจัยภายใน
ปัจจัยภายในได้แก่ สภาพจิตใจ และความผิดปกติของระบบต่างๆในร่างกาย โดยปัจจัยทางสภาพจิตใจ ถือว่าเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ สาเหตุเป็นได้ทั้งจากโรคของผู้ป่วยเองและผลกระทบที่เกิดขึ้นในชีวิตอื่นๆ
1.ภาวะซึมเศร้า
2.วิตกกังวล
3.ความเครียดจากหน้าที่การงาน
4.ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีระหว่างคู่ครอง
5.ความไม่มั่นใจที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ล้มเหลวมาก่อน
6.ความผิดปกติจากระบบต่างๆในร่างกาย เช่น ตัวองคชาติเอง หรือ ระบบเส้นเลือด ระบบประสาท และฮอร์โมน
ปัจจัยภายนอก
ปัจจัยภายนอก ก็เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยไม่แพ้กัน เช่น ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวขององคชาติ รวมไปถึงลักษณะการใช้ชีวิตของผู้ป่วย เป็นต้น
การบริการ
แก้ไขการฉีดสารแปลกปลอม
คือ การผ่าตัดเพื่อนำสารแปลกปลอมต่าง ๆ ออกจากอวัยวะเพศชาย โดยส่วนใหญ่เกิดจากการฉีดสารแปลกปลอมเข้าไปในร่างกายโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายและปัญหาอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต อาทิเช่น เกิดการติดเชื้อ การอักเสบ เกิดพังพืดเป็นก้อน อวัยวะเพศผิดรูปจนถึงการทำงานของอวัยวะที่ผิดปกติ ตัวอย่างของสารแปลกปลอมที่ยังไม่ได้มีการรับรองในด้านความปลอดภัยเพื่อใช้นำมาฉีดเติม แต่ง และเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น ซิลิโคนเหลว, ขี้ผึ้งยูนิซัน ,น้ำมันมะกอก
การผ่าตัดแก้สารแปลกปลอมต้องทำโดยศัลยแพทย์ตกแต่ง โดยผู้ป่วยควรเข้ารับการปรึกษาที่โรงยาบาล เพื่อรับคำแนะนำและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม จากแพทย์ผู้มีประสบการณ์และความน่าเชื่อถือที่สามารถช่วยคุณได้ โดยไม่ต้องแก้ซ้ำหลายรอบ
สัญญาณเตือนที่ควรรีบมาผ่าตัดแก้ไขสารเหลว
-เกิดพังพืด อวัยวะเพศผิดรูป สัมผัสได้ถึงก้อนแข็งที่อวัยวะเพศ หรือมีขนาดใหญ่เกินไปจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน
-เกิดอาการเจ็บ ปวด บวม คันมากหรืออักเสบ กรณีการอักเสบอาจไม่ได้เกิดหลังฉีดภายในสัปดาห์แรก บางเคสอาจฉีดไปหลายเดือน หลายปีแล้วจึงอักเสบ
-หนังหุ้มปลายไม่สามารถรูดเปิดได้ ส่งผลให้สิ่งสกปรกเข้าไปหมักหมมจนมีกลิ่นตามมาหากปล่อยไว้อาจเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งองคชาต (Penile Cancer)
-เกิดการติดเชื้อ การฉีดสารแปลกปลอมอาจเกิดจากการติดเชื้อหากฉีดกับสถานพยาบาลที่ไม่ได้มาตรฐาน ,ฉีดโดยผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ หรือติดเชื้อจากอุปกรณ์ที่ไม่สะอาด
หากต้องการเพิ่มขนาดน้องชาย เพื่อเพิ่มความมั่นใจ ควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน การฉีดสารแปลกปลอมเข้าไปในอวัยวะเพศโดยหวังเพียงผลลัพธ์เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากเกิดปัญหาเหล่านี้ คนไข้บางรายอาจจำเป็นต้องตัดอวัยวะเพศทิ้งได้ค่ะ ปัจจุบันมีหัตถการฉีดสารเพื่อเพิ่มขนาดน้องชายที่ปลอดภัยกว่าอย่างฟิลเลอร์ แต่ต้องทำโดยแพทย์เฉพาะทาง และสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานมีความน่าเชื่อถือ
การฉีดสารเพิ่มขนาดชายที่ปลอดภัยมีอยู่ 2 ประเภท
เทคนิคที่ 1 ตัดผิวหนังบางส่วน
เป็นการตัดผิวหนังออกบางส่วนรวมทั้งตัดสารแปลกปลอมที่อยู่ใต้ผิวหนังออกไปด้วย เหมาะสำหรับกรณีที่ฉีดสารแปลกปลอมไม่มาก โดยฉีดบริเวณปลายหนังหุ้มอวัยวะเพศเป็นส่วนใหญ่ ลักษณะการผ่าตัดคล้ายกับการขลิบหนังหุ้มอวัยวะเพศ และเข้าไปคว้านส่วนที่เหลือใต้ผิวหนังบางส่วน
เทคนิคนี้ใช้ได้เฉพาะกรณีที่ฉีดน้อย ชั้นตื้น ๆ เท่านั้น ถ้าทำได้ก็อาจเป็นเทคนิคที่ดีที่สุด เพราะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของผิวหนังไป จากเดิมมาก แต่เคสส่วนมากมักจะไม่ใช้เทคนิคนี้ เพราะฉีดมาในปริมาณที่มาก
เทคนิคที่ 2 ตัดผิวหนังออกทั้งหมด
ศัลยแพทย์จะเริ่มตัดผิวหนังตั้งแต่โคนจนถึงปลายอวัยวะเพศออกทั้งหมด เพราะสารแปลกปลอมกระจายไปทั่วทุกพื้นผิว ดังนั้นการตัดเอาผิวหนังออกทั้งหมดจึงเป็นวิธีเดียวที่สามารถกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกได้โดยไม่เหลือตกค้าง โดยจะแบ่งออกเป็นสองวิธีย่อย ๆ ค่ะ
- วิธีปลูกถ่ายผิวหนัง โดยการนำเอาผิวหนังบริเวณ หน้าท้อง, ต้นขา ,ขาหนีบ มาทำการปลูกถ่าย เนื่องจากผิวหนังบริเวณนี้มีลักษณะใกล้เคียงกับผิวอวัยวะเพศ ข้อเสียคือยืดหยุ่นได้น้อย เมื่ออวัยวะเพศแข็งตัว
- วิธีการใช้ผิวหนังจากลูกอัณฑะ โดยการใช้ผิวหนังบริเวณลูกอัณฑะมาปิด ข้อดีคือสามารถยืดหยุ่นได้มากกว่า เมื่อวัยวะเพศแข็งตัว
การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดแก้ไขสารแปลกปลอม
การผ่าตัดบริเวณอวัยวะเพศเป็นการผ่าตัดที่มีความเสี่ยงสูง ดังนั้นการเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดจึงมีความสำคัญมาก การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดเพื่อแก้ไขสารแปลกปลอมในอวัยวะเพศมีการเตรียมตัว ดังนี้
-ปรึกษาแพทย์เพื่อทราบถึงระดับความรุนแรงของอาการ ความเสี่ยง และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการผ่าตัด
-แจ้งประวัติทางการแพทย์ การใช้ยาและโรคประจำตัวให้แพทย์ทราบก่อนการผ่าตัด เพื่อประเมินการงดยาบางชนิด
-เตรียมความพร้อมของร่างกาย โดยการพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้ดีขึ้น
-งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด เพื่อลดความเสี่ยงการทำให้แผลติดเชื้อ หรือแผลหายช้า
-งดใช้ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดบางชนิด เป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด เช่น แอสไพริน ยากลุ่ม NSAID อาหารเสริมบางชนิด
-งดน้ำ และอาหารตามแพทย์สั่งอย่างน้อย 6 – 8 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด เพื่อป้องกันการสำลักอาหารระหว่างผ่าตัด
-เตรียมเสื้อผ้า และของใช้ส่วนตัวที่ต้องใช้หลังการผ่าตัด
ขั้นตอนการผ่าตัดแก้ไขสารแปลกปลอมในองคชาติ
-แพทย์จะทำการดมยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์
-จากนั้นทำการเปิดแผล เพื่อผ่าตัดเอาสารแปลกปลอมออก
-หากแพทย์ใช้วิธีที่ 1 ในการผ่าตัด สามารถเย็บปิดแผลได้เลย
-หากใช้เทคนิคที่ 2 แพทย์จะตัดผิวหนังบริเวณโคนอวัยวะเพศ และเปิดแผลบริเวณถุงอัณฑะ เพื่อดึงผิวบริเวณอัณฑะมาปิดแผล
-จากนั้นเย็บปิดแผลอย่างประณีต ด้วยไหมละลาย
การดูแลหลังผ่าตัดแก้ไขสารเหลว
การผ่าตัดแก้ไขสารแปลกปลอม คือ การผ่าตัดเพื่อนำสารแปลกปลอมต่าง ๆ ออกจากอวัยวะเพศชาย โดยส่วนใหญ่เกิดจากการฉีดสารแปลกปลอมเข้าไปในร่างกายโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายและปัญหาอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต อาทิเช่น เกิดการติดเชื้อ การอักเสบ เกิดพังพืดเป็นก้อน อวัยวะเพศผิดรูปจนถึงการทำงานของอวัยวะที่ผิดปกติ ตัวอย่างของสารแปลกปลอมที่ยังไม่ได้มีการรับรองในด้านความปลอดภัยเพื่อใช้นำมาฉีดเติม แต่ง และเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น ซิลิโคนเหลว, ขี้ผึ้งยูนิซัน ,น้ำมันมะกอก
การผ่าตัดแก้สารแปลกปลอมต้องทำโดยศัลยแพทย์ตกแต่ง หรือศัลยแพทย์ทั่วไป โดยผู้ป่วยควรเข้ารับปรึกษาโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์และความน่าเชื่อถือ เพื่อรับคำแนะนำและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับอาการของตน
การบริการ
ภาวะการหลั่งเร็ว
(Premature Ejaculation) การหลั่งเร็วหรือในบางครั้งเราใช้คำว่า ล่มปากอ่าว, นกกระจอกไม่ทันกินน้ำ ซึ่งโดยปกติค่าเฉลี่ยของการหลั่งน้ำอสุจิอยู่ที่ประมาณ 2-4 นาที ในขณะที่ฝ่ายหญิงใช้เวลาประมาณอยู่ที่ 15 นาที ซึ่งทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างฝ่ายชายและฝ่ายหญิง และอาจทำให้เกิดปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ได้
หลั่งเร็วเกิดจากอะไร
สาเหตุทางร่างกาย
1. การผิดปกติของระดับฮอร์โมน
2. การผิดปกติของสารสื่อประสาทของระดับสมอง
3. การทำงานของต่อมไทรอยผิดปกติ
4. การอักเสบหรือการติดเชื้อที่ต่อมลูกหมากหรือท่อปัสวะ
5.การใช้สารเสพติด
สาเหตุทางจิตใจ
1. ความเครียด
2. ความกังวล
3. ภาวะซึมเศร้า
4. มีปัญหาความพึงพอใจในเพศสัมพันธ์ หรือความสัมพันธ์ของคนทั้ง2
5. เคยมีประสบการณ์ทางเพศที่ไม่พึงปรารถนา
6. การมีประวัติเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศ
ภาวะหลั่งเร็วมี 3 ประการ
1.เวลาในการหลั่งหลังสอดใส่เร็วกว่า 15 วินาที ทั้งนี้จากการศึกษาพบว่าผู้ชายปกติจะมีค่าเฉลี่ยของการหลั่ง 2-10 นาที
2.การหลั่งไม่สามารถควบคุมให้เป็นไปตามความต้องการได้ ข้อนี้ใช้แยกภาวะปกติของผู้ชายบางคนที่บังคับให้มีการหลั่งเร็วได้ ในบางสภาวะการณ์
3.บางคู่ที่ฝ่ายหญิงถึงจุดสุดยอดเร็วก็จะไม่เกิดปัญหาจากภาวะนี้ของฝ่ายชาย
ภาวะแทรกซ้อนของการหลั่งเร็ว
1.ก่อให้เกิดความเครียด
2.เกิดปัญหาความสัมพันธ์กับคู่ครอง
3.อาจเกิดปัญหามีลูกยากในกรณีที่อสุจิไม่ได้เข้าไปภายในช่องคลอดของฝ่ายหญิงจากพฤติกรรมการหลั่งเร็ว
การป้องกันและแก้ปัญหาการหลั่งเร็ว
1.การมีทัศนคติที่ดีต่อเรื่องเพศสัมพันธ์ ไม่วิตกกังวลหรือพยายามให้ถึงเป้าหมายจนเกินไป หากมีปัญหาไม่สบายใจ รู้สึกขาดความมั่นใจ
2.ทำความเข้าใจภาวะหลั่งเร็ว เมื่อต้องเผชิญกับภาวะหลั่งเร็วบ้างเป็นครั้งคราว ก็ไม่ควรวิตกกังวลจนเกินไป แต่หากการหลั่งเร็วสร้างปัญหาต่อความสัมพันธ์ หรือส่งผลต่อสภาพจิตใจมากจนเกินไป ควรไปพบแพทย์
การรักษาแก้ปัญหาหลั่งเร็ว
1.การฝึกขมิบกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
2.การฝึก Squeeze technique เพื่อควบคุมการหลั่ง โดยใช้วิธีช่วยตัวเอง จนใกล้ถึงจุดสุดยอดแล้วให้กดตรงบริเวณใกล้เส้น 2สลึง หรือตรงโคนของอวัยวะเพศ นานประมาณ 3-4 วินาที จนความรู้สึกลดลงไป แล้วช่วยตัวเองใหม่อีกครั้ง ทำซ้ำจะช่วยยื่นระยะเวลาการหลั่งได้
3.การใช้ยาชา ซึ่งปัจจุบันมีสเปรย์ยาชา หรือถุงยางที่มีสารผสมยาชาขายอยู่ในท้องตลาด
4.การใช้ยา ปัจจุบันมียากลุ่มยาต้านเศร้า(Anti-depressant) ซึ่งจะช่วยยับหยั่งสารสื่อประสาทในสมอง ช่วยลดอาการหลั่งเร็วได้เป็นอย่างดี
5.การบำบัดร่วมกับคู่ครอง (Couple Therapy) คือการที่นักบำบัดพูดคุยถึงปัญหาความสัมพันธ์ และแนะนำแนวทางแก้ไข หรือเทคนิคช่วยลดปัญหาระหว่างคู่ครอง ในบางครั้งอาจปรึกษาจิตแพทย์ร่วมดูแล
ภาวะหลั่งเร็วมี 3 ประการ
1.เวลาในการหลั่งหลังสอดใส่เร็วกว่า 15 วินาที ทั้งนี้จากการศึกษาพบว่าผู้ชายปกติจะมีค่าเฉลี่ยของการหลั่ง 2-10 นาที
2.การหลั่งไม่สามารถควบคุมให้เป็นไปตามความต้องการได้ ข้อนี้ใช้แยกภาวะปกติของผู้ชายบางคนที่บังคับให้มีการหลั่งเร็วได้ ในบางสภาวะการณ์
3.บางคู่ที่ฝ่ายหญิงถึงจุดสุดยอดเร็วก็จะไม่เกิดปัญหาจากภาวะนี้ของฝ่ายชาย
การวินิจฉัยการหลั่งเร็ว
หากการหลั่งเร็วไม่ได้กระทบต่อความสัมพันธ์ทางเพศหรือไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาและความไม่สบายใจ ก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องไปพบแพทย์ แต่หากการหลั่งเร็วเริ่มสร้างปัญหา และไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง ควรไปปรึกษาขอคำแนะนำจากแพทย์
เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์จะซักถามเกี่ยวกับเรื่องทางเพศ กิจกรรมทางเพศ ปัญหาความสัมพันธ์ และประวัติการรักษาทางการแพทย์ พร้อมกับตรวจสุขภาพร่างกายในปัจจุบัน หากพบปัญหาการหลั่งเร็วที่มาพร้อมกับปัญหาอวัยวะเพศชายไม่แข็งตัว แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจเลือดหาความผิดปกติของระดับฮอร์โมนเพศชาย ตรวจหาความผิดปกติของท่อปัสสาวะ หรือแนะนำให้พบจิตแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เพื่อหาแนวทางในการรักษาและแก้ไขต่อไป
www.upfacecenter.com
UpFace AI Clinic
การทำศัลยกรรมนับเป็นหนึ่งสิ่งที่คนในสมัยนี้เปิดกว้างมากขึ้นหลายๆ คนจึงอยากทำเพื่อทำการแก้ไขปัญหาบนใบหน้าให้สวยสมส่วน ถึงแม่คลินิกเสริมความงามในท้องตลาด จะเปิดมากขึ้น ตามความต้องการของผู้ใช้บริการมากเพียงใด ก็ไม่ได้มีการการันตีว่าทุกคลินิกที่เปิดจะเป็นคลินิกที่ดี ได้รับมาตรฐานสะอาด หรือทำการผ่าตัดศัลยกรรมแล้วจะปลอดภัย ดังนั้นควรเลือกสถานที่เข้ารับบริการให้ดี โดยการหาข้อมูลเปรียบเทียบหลายๆ ที่เพื่อให้การทำศัลยกรรมส่งผลที่ดีที่สุด และได้ผลลัพธ์ที่ดีเป็นที่น่าพึงพอใจที่สุด